ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น หลังสหรัฐฯ ออกคำเตือนแก่ผู้ซื้อน้ำมันจากเวเนซุเอลา สร้างความกังวลเกี่ยวกับอุปทานในตลาดพลังงาน ขณะที่นักลงทุนจับตาผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ ซึ่งอาจส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมันในระยะยาว

.

มาตรการภาษีนำเข้ารถยนต์ดังกล่าวอาจทำให้ราคารถยนต์ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและพฤติกรรมการบริโภคน้ำมัน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าการจัดเก็บภาษีนี้อาจเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์พลังงานสะอาด เนื่องจากชิ้นส่วนยานยนต์ส่วนใหญ่นำเข้าจากหลายประเทศ และยังต้องรอรายละเอียดเพิ่มเติมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

.

ด้านสถานการณ์พลังงาน รายงานจากสำนักงานข้อมูลด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) ระบุว่า ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯ ลดลง 3.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 21 มีนาคม ซึ่งมากกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 956,000 บาร์เรล สะท้อนถึงแนวโน้มอุปทานที่ตึงตัวขึ้น

.

ขณะเดียวกัน แบบสำรวจจากธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขานครดัลลัส ชี้ให้เห็นว่า ผู้บริหารในอุตสาหกรรมพลังงานของสหรัฐฯ มีมุมมองเชิงลบต่อแนวโน้มของภาคพลังงาน โดยปัจจัยด้านต้นทุน เช่น การจัดเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม อาจส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการสำรวจและวางท่อส่งน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น

.

ในประเด็นเวเนซุเอลา สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในผู้ซื้อน้ำมันรายใหญ่จากประเทศดังกล่าว โดยเชฟรอนได้รับการยกเว้นจากมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจพิจารณายกเลิกสิทธิ์ยกเว้นดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพด้านพลังงาน

.

นอกจากนี้ สหรัฐฯ และรัสเซีย-ยูเครน ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันเพื่อยุติการโจมตีเป้าหมายทางทะเลและพลังงาน ขณะที่วอชิงตันตกลงยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรบางส่วนต่อรัสเซีย ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของตลาดพลังงานในระยะต่อไป

.

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์แตะระดับต่ำสุดในช่วงกลางเดือนมีนาคม ก่อนปรับตัวฟื้นขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแนวต้านสำคัญอยู่ที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน บริเวณ 74 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หากราคาสามารถทะลุระดับ 77 ดอลลาร์ฯ ได้ อาจส่งสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มจากขาลงเป็นขาขึ้นในระยะกลาง